การใช้ DynamoDB vs RDS สำหรับ Developer

Sharing is caring!

บทนำ

สำหรับนักพัฒนาที่เริ่มต้นใช้งาน AWS หนึ่งในคำถามสำคัญคือ “จะเลือกใช้ DynamoDB หรือ RDS ดี?” ทั้งสองบริการนี้เป็นระบบฐานข้อมูลบน Cloud ของ AWS แต่มีจุดเด่นและจุดต่างที่ชัดเจน บทความนี้จะอธิบายแบบเข้าใจง่าย พร้อมแนวทางการเลือกใช้สำหรับแต่ละกรณีจริงของนักพัฒนา

AWS RDS คืออะไร?

Amazon Relational Database Service (RDS) คือบริการฐานข้อมูลแบบ SQL ที่ช่วยให้คุณสามารถใช้งานฐานข้อมูลยอดนิยม เช่น MySQL, PostgreSQL, MariaDB, Oracle และ SQL Server โดยไม่ต้องดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง — AWS จะจัดการเรื่องการ backup, patch, และ scaling ให้โดยอัตโนมัติ

  • เหมาะกับแอปที่ต้องการความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
  • รองรับการใช้ JOIN, Transaction, Foreign Key
  • เหมาะกับระบบ ERP, CRM, หรือเว็บไซต์ทั่วไป

Amazon DynamoDB คืออะไร?

DynamoDB เป็นฐานข้อมูลแบบ NoSQL ที่ AWS ออกแบบมาเพื่อความเร็วและการขยายระบบแบบไร้ขีดจำกัด ไม่มี schema ตายตัวเหมือน SQL ทำให้เหมาะกับระบบที่ต้องการ scale ขนาดใหญ่ เช่น Game Server, IoT, หรือระบบ e-commerce

  • เหมาะกับระบบที่มีการอ่าน/เขียนข้อมูลจำนวนมาก
  • ไม่ต้องจัดการ Server (Fully Managed)
  • ทำงานได้แบบ Real-time และรองรับการขยายอัตโนมัติ

โครงสร้างข้อมูล: SQL vs NoSQL

ก่อนเลือกใช้งาน เราควรเข้าใจความต่างของโครงสร้างข้อมูลในระบบ SQL และ NoSQL

หัวข้อRDS (SQL)DynamoDB (NoSQL)
โครงสร้างข้อมูลตาราง, แถว, คอลัมน์ (Schema ชัดเจน)Document หรือ Key-Value (Schema ยืดหยุ่น)
Queryใช้ SQL เช่น SELECT, JOINใช้ Key, Filter Expression
ScalingVertical (เพิ่มขนาดเครื่อง)Horizontal (เพิ่มจำนวน node)
Performanceขึ้นกับเครื่องและโครงสร้างLatency ต่ำมาก (มิลลิวินาที)

ตัวอย่างการใช้งาน RDS (Python + PostgreSQL)

ต่อไปคือตัวอย่างโค้ดเชื่อมต่อ RDS ด้วย Python

import psycopg2

conn = psycopg2.connect(
    host="rds-endpoint.amazonaws.com",
    database="mydb",
    user="admin",
    password="mypassword"
)

cur = conn.cursor()
cur.execute("SELECT * FROM users;")

rows = cur.fetchall()
for r in rows:
    print(r)

conn.close()
    

ตัวอย่างการใช้งาน DynamoDB (Python + boto3)

สำหรับ DynamoDB คุณสามารถใช้ SDK ของ AWS (boto3) ได้โดยตรง

import boto3

dynamodb = boto3.resource('dynamodb')
table = dynamodb.Table('Users')

# เพิ่มข้อมูล
table.put_item(
    Item={
        'userId': 'U001',
        'name': 'John Doe',
        'email': '[email protected]'
    }
)

# ดึงข้อมูล
response = table.get_item(Key={'userId': 'U001'})
print(response['Item'])
    

Performance และ Scalability

RDS เหมาะกับระบบที่มี Transaction ชัดเจน เช่น การเงิน หรือระบบที่ต้องการความถูกต้องของข้อมูล (ACID) ขณะที่ DynamoDB เหมาะกับระบบที่มีปริมาณข้อมูลจำนวนมากและต้องการความเร็ว เช่น IoT, Chat, หรือ Marketplace

ต้นทุน (Cost)

  • RDS: คิดค่าบริการตามขนาดเครื่องและเวลาที่เปิดใช้งาน
  • DynamoDB: คิดค่าบริการตามจำนวนการอ่าน/เขียนข้อมูล (Read/Write Capacity Units)

ถ้าเป็นระบบขนาดเล็ก RDS อาจถูกกว่า แต่เมื่อระบบใหญ่ DynamoDB จะคุ้มค่ามากกว่า

ความปลอดภัยและการจัดการ

  • ทั้ง RDS และ DynamoDB รองรับการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption at rest & in transit)
  • สามารถกำหนดสิทธิ์ผ่าน AWS IAM ได้เหมือนกัน
  • RDS ต้องมี Maintenance window, แต่ DynamoDB ไม่มี downtime

กรณีการเลือกใช้งานจริง

  • 💼 RDS: ระบบธนาคาร, ERP, ระบบการจอง, เว็บบล็อก, CRM
  • ⚙️ DynamoDB: ระบบเกม, E-commerce, IoT, Chat App, Leaderboard

ตารางสรุป

บริการเหมาะกับงานแบบไหนข้อดีหลัก
RDSระบบธุรกิจที่ต้องการความถูกต้องรองรับ SQL, Transaction
DynamoDBระบบเรียลไทม์ ปริมาณข้อมูลสูงความเร็วสูง, ไม่มี downtime

สรุป: เลือกใช้ RDS หรือ DynamoDB?

ไม่มีคำตอบที่ “ดีที่สุด” มีเพียง “เหมาะสมที่สุด” กับระบบของคุณ หากระบบของคุณต้องการ ความสัมพันธ์ของข้อมูล (Relational) ให้เลือก RDS แต่หากต้องการ ความเร็วและการขยายขนาดแบบไม่มีขีดจำกัด — DynamoDB คือคำตอบ

📘 บทความโดย King Pool

ภาพประกอบ: DynamoDB Architecture, RDS Diagram, Python SDK Example

อ่านต่อ: Serverless Database คืออะไร?

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *